คำสอนหลวงปู่สู่โลกปัจจุบัน :: Dhammakaya Foundation & Wat Phra Dhammakaya : World Peace through Inner Peace using Meditation Practice  

 

คำสอนหลวงปู่สู่โลกปัจจุบัน

คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน

วิธีรวย

“...ในโลกมนุษย์ถ้าเรามีบุญเสียแล้วจะค้าขายก็ร่ำรวย จะทำงานทำกิจการอะไรก็เจริญ จะหาทรัพย์สมบัติก็ได้คล่องแคล่วสะดวกสบายไม่ติดขัดแต่ประการใด...”

ผลจากการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีในโลกประจำปี พ.ศ.25511 โดย “ฟอร์บส์” นิตยสารด้านการเงินของสหรัฐอเมริกาปรากฏว่า นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนการเงินชื่อดังชาวสหรัฐ วัย 77 ปี ได้ตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินถึง 62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) ส่วนแชมป์เก่า 13 ปีซ้อน นายบิล เกตส์ ตกลงมาอยู่อันดับที่ 3 ปีนี้มีผู้ติดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลกทั้งหมด 1,125 คน จากประชากรโลก 6.7 พันล้านคน โดยมีเศรษฐีจากสหรัฐอเมริกาติดอันดับมากที่สุด และมีคนไทยติดอันดับ 3 คน

ส่วนอันดับอภิมหายาจกโลกนั้น ยังไม่ได้ยินข่าวว่ามีนิตยสารใดจัดอันดับ เป็นไปได้หรือไม่ว่า อภิมหายาจกของโลกมีปริมาณมากมายจนจัดอันดับไม่ไหว หรือว่ายังไม่มีมาตรการใดที่วัดปริมาณความจนได้อย่างแม่นยำว่า ใครจนมากกว่ากัน หรือยังไม่มีหน่วยวัดความหิวว่า คนที่อดอยากหิวโหยสุดยอดต่อเนื่องยาวนาน พันคนแรกของโลกเป็นใคร

เรื่องความรวยความจนนี้ ปรากฏอยู่ในพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงปู่หลายแห่ง เช่น

“...ในโลกมนุษย์ถ้าเรามีบุญเสียแล้วจะค้าขายก็ร่ำรวย จะทำงานทำกิจการอะไรก็เจริญ จะหาทรัพย์สมบัติก็ได้คล่องสะดวกสบายไม่ติดขัดแต่ประการใด ถ้าว่าไม่มีบุญ จะทำอะไรก็ติดขัดไปเสียทุกอย่างทุกประการ ดังนั้น จึงได้ชักชวนพวกเราให้มาทำบุญทำกุศลเสีย จะได้เลิกจนเลิกทุกข์ยากลำบากเสียที...”

วิธีรวยท่านก็ให้ไว้ ทั้งด้วยการหมั่นทำทาน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ และเจริญสมาธิภาวนาให้ใจหยุดใจนิ่ง ดังนี้

ทาน: “...ทานการให้นี่เป็นนโยบายของบัณฑิตทั้งหลาย แต่ไหนแต่ไรมา คนมีปัญญาแล้วก็ต้องให้ทาน ถ้าคนโง่แล้วเห็นว่าสิ้นไปหมดไป ถ้าว่าคนมีปัญญาแล้วเห็นว่ายิ่งให้ยิ่งมียกใหญ่...”

ศีล: “...เราครองเรือนก็เหมือนกัน เสียทรัพย์ไป ศีลอย่าให้เสีย ต้องรักษาไว้ ศีลเป็นสิ่งสร้างทรัพย์ เจ้าทรัพย์เสียถ้าว่ามีศีลละก็ ได้ชื่อว่าเป็นคนดี คนบริสุทธิ์ แล้วเป็นเจ้าทรัพย์ ทรัพย์ดึงดูดโลกให้มาหา ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร ให้บริสุทธิ์จริงๆนะ...”

ภาวนา: “...ถ้าว่าจิตหยุดเสียได้ละก็ เขมํ ทีเดียว เกษมผ่องใสเหมือนอย่างกับกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้าทีเดียว ...ถ้าจิตหยุดเช่นนั้นเสียแล้วละก็ เงินน่ะไม่ต้องหายากหาลำบากแต่อย่างไรหรอก ถ้าจิตผ่องใสขนาดนั้นแล้ว ไม่ต้องทำงานอะไรมากมายไปหรอก มันไหลเข้ามาเองนะ เงินน่ะไม่เดือดร้อน...”

ตัวท่านเองรักการทำบุญทำกุศลเป็นชีวิตจิตใจ จะเห็นได้จากประวัติชีวิตของท่านที่เปี่ยมไปด้วยบุญกุศล และท่านก็เคยกล่าวไว้ว่า

“...สมภารวัดปากน้ำนะสมภารแก่แล้ว อายุ 71 แล้วนะ ...ต้องการบุญกุศลเท่านั้นแหละ อยู่ที่ไหนก็ให้ทาน บริจาคทานไป ไม่ทำอะไรก็สอนหนังสือหนังหาไป สงเคราะห์อนุเคราะห์กุลบุตรไปอย่างนี้แหละ...”

การทำทานให้ได้บุญเต็มเปี่ยม ผู้ทำต้องปีติในทาน ยิ่งปีติมากก็ยิ่งได้บุญมาก จำนวนชาติที่บุญตามส่งผลก็จะมากขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าจะทำทานมากน้อยเพียงใด ก็ขอให้ทำใจให้ปีติมากๆ เพราะทานที่เราทำในแต่ละครั้งมีอานิสงส์มากมายเกินกว่าที่คนธรรมดาสามัญจะคาดคิดได้ ดังคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่ว่า

“...ถ้าให้แก่คนเลวทรามมนุษย์พรานเบ็ดหรือนายพรานแห ผู้มีมือชุ่มไปด้วยโลหิตใจอำมหิต บาปหยาบช้า ให้อาหารเพียงอิ่มเดียว เจ้าของทานผู้ให้อาหารแก่คนเช่นนั้นย่อมได้รับอานิสงส์ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณะ ตามสนองไปทุกภพทุกชาติ...”

การให้ทานแก่มนุษย์ที่มือชุ่มไปด้วยโลหิต เป็นคนใจบาปหยาบช้า ยังได้บุญถึงขนาดนี้ ถ้าเราทำบุญถูกเนื้อนาบุญอันเลิศ จะได้บุญมากขนาดไหน

ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าใครมาบำเพ็ญทานที่วัดปากน้ำ ท่านจะเมตตาคำนวณบุญให้ และบอกกล่าวกันเดี๋ยวนั้นเลยว่า ทำบุญวันนี้ได้บุญไปเท่าไหร่ ซึ่งสร้างความปลื้มปีติให้แก่ญาติโยมเป็นยิ่งนัก

“...วันนี้นะไม่ใช่นิดๆหน่อยๆ มาทอดผ้าป่านี้นะ คนหนึ่งๆนั่นวัดผ่าเส้นศูนย์กลางขนาด 1,000 วา เป็นดวงในขนาดพันวา เขามีธรรมกาย เขาเห็นทั้งนั้นแหละ ขนาดพันวา วัดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดพันวา กลมรอบตัวเรียบเหมือนหน้ากระจกเชียว นั่นแหละบุญมาติดอยู่กลางตัวทุกคนๆ แต่หย่อนบ้าง บางคนก็ถึง 900 วา บางคนก็ถึง 800 วา 700 วา 600 วา 500 วา ต้องได้ทุกคนเหมือนกันหมด แบบเดียวกันหมดทีเดียว ความจริงเป็นอย่างนี้...”

ยุคนี้คนรวยมีไม่มาก จึงไม่ยากที่จะจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลก แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์หันมาทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนากันมากๆจนเป็นกิจวัตร อีกไม่นานยุคของคนหล่อ สวย รวย ฉลาด ก็จะบังเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลานั้น การจัดอันดับอภิมหายาจากโลกคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะจำนวนคนยากจนคงเหลือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองโลก แต่ที่แน่ๆ ใครทำบุญกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ทั้งตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่หรือมรณภาพไปแล้ว หมดสิทธิ์ติดอันดับยากจนใดๆกับเขาอย่างแน่นอน

จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)

หมายเหตุ

1 อันดับมหาเศรษฐีโลกของฟอร์บส์ (พ.ศ.2554) ประกาศเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2554: อันดับ 1 คือ นายการ์โลส สลิม และครอบครัว (เม็กซิโก) อันดับ 2 นายบิล เกตส์ (สหรัฐอเมริกา) อันดับ 3 นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ (สหรัฐอเมริกา)

– ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปริศนาแห่งความฝัน

 

“...กายมนุษย์นี่แหละเวลานอนหลับฝันไปก็ได้ พอฝันออกไปอีกกายหนึ่ง

เขาเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด นี่รู้จักกันทุกคนเชียวกายนี้ เพราะเคยนอนฝันกันทุกคน

รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร เป็นเหมือนมนุษย์คนนี้แหละ คนที่ฝันนี่แหละ..."

 

แม้ในปัจจุบันวิทยาการจะก้าวรุดหน้าไปมาก มนุษย์สามารถรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆรอบตัวได้มากมาย แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่เป็นปริศนาในใจของมนุษย์ เป็นต้นว่า “ความฝัน” แม้เราทุกคนจะเคยฝันกันมาแล้วทั้งนั้น แต่เราก็ยังมีคำถามเรื่องความฝันอยู่มากมาย เช่น ความฝันเกิดจากอะไร, ทำไมเหตุการณ์ในฝันถึงกลายเป็นความจริงขึ้นมา, ฝันช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือ, สัตว์ฝันได้หรือไม่ เป็นต้น ที่ผ่านมามีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายเรื่องความฝัน สำหรับพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้กล่าวถึงความฝันไว้ว่า

“...กายมนุษย์นี่แหละเวลานอนหลับฝันไปก็ได้ พอฝันออกไปอีกกายหนึ่ง เขาเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด นี่รู้จักกันทุกคนเชียวกายนี้ เพราะเคยนอนฝันกันทุกคน รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร เป็นเหมือนมนุษย์คนนี้แหละ คนที่ฝันนี่แหละ ...”

พระเดชพระคุณหลวงปู่กล่าวว่า เราจะรู้จักพบปะเจอะเจอกับกายละเอียดได้ เมื่อเราทำสมาธิและสามารถทำใจให้หยุดนิ่งได้ถูกส่วน พอจิตดำเนินเข้าสู่เส้นทางสายกลาง ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ก็จะเข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียด และรู้ว่ากายมนุษย์ละเอียดนี่เองที่ฝันออกไป ถ้าเราเจอกายมนุษย์ละเอียดแล้ว จะใช้ให้ไปที่ไหนก็ได้ เช่น ให้ฝันไปเมืองเพชร ไปอรัญประเทศ ไปพระธาตุพนม ไปเชียงใหม่ ปรากฏว่า เพียงแค่นาทีเดียวกายละเอียดก็ไปยังสถานที่ต่างๆเหล่านี้ แล้วกลับมาเล่าให้ฟังได้ ฝันแบบนี้ไม่เหมือนนอนหลับฝัน ท่านกล่าวว่า

“...ฝันทั้งๆที่ตื่น ไม่ใช่ฝันหลับๆ ฝันอย่างนี้ประเดี๋ยวเดียวได้หลายเรื่อง ถ้าหลับฝันนานนักกว่าจะได้สักเรื่องหนึ่ง...”

“...ถ้าเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราก็จะฉลาดกว่าคนชั้นหนึ่ง เพราะมนุษย์รู้เรื่องหยาบๆ เราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราจึงรู้เรื่องได้ละเอียดกว่า เรื้องลี้ลับอะไรเรารู้หมด เราไปตรวจดูได้หมดทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน...ฝันไปเรื่อย ตรวจดูทุกๆคน ถ้าฝันตื่นๆได้อย่างนี้สนุกแน่...”

การที่มนุษย์นอนหลับฝันโดยทั่วไปเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ

  • แบบกายละเอียดไม่ได้หลุดจากกายหยาบ เช่น เกิดจากธาตุวิปริต จิตนิวรณ์ ผู้ฝันจะฝันเพ้อเจ้อไปเรื่อย
  • แบบกายละเอียดหลุดออกจากายหยาบ ไปทำหน้าที่ฝัน ก็จะไปพบผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆ แล้วนำกลับมาถ่ายทอดข้อมูลให้กายมนุษย์หยาบทราบ

ทำไมเหตุการณ์ในฝันถึงกลายเป็นความจริงขึ้นมา

หลายๆคนคงเคยได้ยินหรือได้ประสบกับตัวเองว่า ฝันกลายเป็นจริงได้ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างของบุคคลที่มีชื่อเสียง คือ  อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดี คนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ผู้ปลดแอกทาสผิวดำ ท่านถูกยิงตายเมื่อวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1865 ก่อนถูกยิง 10 วัน ท่านฝันว่า เห็นคนร้องไห้ และพบศพใส่หีบตั้งไว้ มีทหารยืนเฝ้าอยู่ เมื่อท่านถามว่า ใครตาย ทหารตอบว่า ท่านประธานาธิบดีถูกคนร้ายฆ่าตาย

กรณีนี้น่าจะเป็นการฝันแบบที่สอง คือ การละเอียดหลุดออกจากกายหยาบไปทำหน้าที่ฝันแล้วนำมาเล่าให้กายมนุษย์หยาบฟัง

ฝันช่วยแก้ปัญหาได้จริงหรือ

เรื่องนี้ มีตัวอย่างของนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความจริงขณะนอนหลับ ไม่ใช่พบในห้องทดลอง เรื่องมีอยู่ว่า ฟรีดดริก เอากุสต์ เคคูเล นักเคมีชาวเยอรมัน ฝันว่าโมเลกุลของเบนซีน1 กำลังหมุนเป็นวงกลมเหมือนงูกินหาง เขาจึงสร้างความคิดรวบยอดเกี่ยวกับคาร์บอนหกอะตอมจับตัวกันในลักษณะวงแหวนของเบนซีน และค้นพบสูตรโครงสร้างของเบนซีนในที่สุด

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของนักประดิษฐ์จักรเย็บผ้า ที่พยายามคิดค้นหาวิธีทำจักรเย็บผ้าอยู่นานแต่ไม่ประสบความสำเร็จ วันหนึ่งเขาฝันว่าอยู่ในวงล้อมของคนป่า เขาเห็นหอกทุกเล่มของคนป่ามีรูเจาะอยู่ที่ปลาย ความฝันนี้ทำให้เขาเกิดความคิดว่า รูเข็มของจักรเย็บผ้าต้องอยู่ที่ปลายเข็ม ไม่ใช่อยู่ที่โคนแบบเข็มเย็บผ้าทั่วไป

สองกรณีนี้ น่าจะเกิดขึ้นจากความฉลาดของกายมนุษย์ละเอียด ที่ฉลาดกว่าคนชั้นหนึ่ง ดังที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้บอกไว้ กายละเอียดจึงสามารถแก้ปัญหาที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้

สัตว์ฝันได้หรือไม่

นักวิจัยค้นพบว่าสัตว์ก็ฝันได้เช่นเดียวกัน เช่น แมวมักจะฝันถึงการล่าเหยื่อ ซึ่งจะสังเกตได้จากลักษณะการเคลื่อนไหวของขาและร่างกาย สุนัขมีการเคลื่อนไหวของช่วงขาในลักษณะของการวิ่ง รวมถึงการเห่าในขณะที่นอนหลับ

พระเดชพระคุณหลวงปู่เคยกล่าวถึงเรื่องกายละเอียดของสัตว์ไว้ว่า “...สัตว์เดรัจฉานที่เราเห็นตัวปรากฏอยู่นี่ นั่นมนุษย์แท้ๆ มนุษย์ทั้งนั้น อ้ายสัตว์เดรัจฉานน่ะ ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเสีย อ้ายตัวข้างในเป็นมนุษย์ทั้งนั้นแหละ อ้ายกายละเอียดข้างใน แต่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน น่าเกลียดน่าชังจริงนั่น เพราะทำชั่วของตัวไปเกิด มันดึงดูด อายตนะของสัตว์เดรัจฉานดึงดูด...”

จากคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่กล่าวว่า สัตว์มีกายละเอียดเป็นมนุษย์ ทำให้เชื่อว่าสัตว์ก็น่าจะฝันได้เช่นเดียวกัน แต่ผู้ที่จะให้ข้อสรุปปริศนาแห่งความฝันเหล่านี้ได้ดีที่สุด ต้องเป็นคนที่ฝันได้ทั้งๆที่ยังตื่นอยู่ ที่หลวงปู่เรียกว่า “ฝันในฝัน”

วิชชาธรรมกายที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ค้นพบ นอกจากจะเป็นหนทางอันประเสริฐสุดที่ช่วยให้มนุษยชาติหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว ยังสามารถไขปริศนาต่างๆในใจของชาวโลกได้อีกมากมาย ค่ำคืนนี้ ใต้ท้องฟ้าที่ระยิบระยับด้วยดวงดาว ผู้คนมากมายกำลังตกอยู่ในความฝัน แต่คนอีกส่วนหนึ่งกำลังพากเพียรที่จะ “ฝันในฝัน” ตามรอยพระเดชพระคุณหลวงปู่

คุณอยู่กลุ่มใด ?

จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)

หมายเหตุ

1 เบนซีน เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง มีสูตรทางเคมีคือ C6H6 บางครั้งอาจเขียนเป็นตัวย่อเป็น Ph–H เบนซีนไม่มีสีแต่ไวไฟและมีกลิ่นหอมหวาน เนื่องจากเป็นสารก่อมะเร็งจึงไม่นิยมใช้เป็นสารเติมแต่งน้ำมันในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามสารนี้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมที่สำคัญ และเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยา พลาสติก ยางสังเคราะห์ และสีย้อม เบนซีนเป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติของปิโตรเลียมและสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้จากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ เบนซีนเป็นสารประกอบอะโรมาติกชนิดหนึ่ง

– ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ความเมตตา

“...เมตตารักใคร่อย่างบุตรน่ะ เมตตารักใคร่อย่างไร? มีอะไรให้หมด ถ้าว่ามีนม ก็รับให้นมทีเดียว มีของอะไรให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง รักใคร่จริงๆอย่านั้น...”

ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ (Luther Burbank) 1 นักวิทยาศาสตร์ผู้เลื่องชื่อได้กล่าวไว้ว่า “เคล็ดลับของการเพาะพันธุ์พืชให้ดี นอกจากจะอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ยังต้องมีความเมตตาอยู่ด้วย” ขณะที่เขาทดลองทำให้กระบองเพชรไม่มีหนามอยู่นั้น ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ มักจะพูดกับต้นกระบองเพชร เพื่อสร้างคลื่นแห่งความเมตตาว่า “พวกเธอไม่มีอะไรจะต้องกลัว พวกเธอไม่จำเป็นต้องมีหนามไว้ป้องกันตัวอีกแล้ว ฉันจะช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเธอเอง” ต่อมาเขาก็ประสบความสำเร็จในการทำให้กระบองเพชรพันธุ์ที่เขาทดลองพัฒนามาเป็นพืชไม่มีหนามได้จริงๆ ในยุคต่อๆมา มีการทดลองเรื่องอานุภาพของความเมตตากับพืชอีกหลายชนิด แต่ละการทดลองปรากฏผลเหมือนๆกันว่า ต้นไม้ที่ได้รับการแผ่เมตตา หรือพูดจาดีๆด้วยนั้น จะเจริญเติบโต สมบูรณ์แข็งแรงกว่าต้นไม้ที่ถูกดุด่าอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นดอกไม้ก็จะออกดอกมากกว่าและสวยงามกว่า

เรื่องความเมตตานี้ พระเดชพระคุณหลวงปู่ได้กล่าวไว้ว่าเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก แต่ถ้าจะให้มีอำนาจมากต้องตั้งจิตเมตตาต่อผู้อื่นเหมือนแม่เมตตาต่อลูก ถ้าใครทำได้ ท่านบอกว่าจะมีคนรักใคร่เมตตามากมาย

“...เมตตารักใคร่อย่างบุตรน่ะ เมตตารักใคร่อย่างไร? มีอะไรให้หมด ถ้าว่ามีนม ก็รับให้นมทีเดียว มีของอะไรให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง รักใคร่จริงๆอย่างนั้น... จิตดวงนี้เป็นจิตดวงสำคัญ เมื่อรู้จักใช้แล้วละก็ ใช้จำเพาะลูกของตนก็ไม่ได้ผล มีฤทธิ์นัก ถ้ารู้จักใช้ถูกส่วนละก็ มีฤทธิ์มีเดชมากมายนักนะ จะมีคนรักใคร่มากมายนับประมาณไม่ได้...”

ความรักความเมตตาของแม่ที่มีต่อลูกเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ จริงใจ เปี่ยมด้วยความปรารถนาดีและมีปริมาณมากมายมหาศาล เมื่อแผ่ความเมตตาชนิดนี้ออกไป จึงได้รับความรักความเมตตากลับคืนมามหาศาลเช่นกัน ถ้าจะอธิบายเรื่องนี้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ดูแล้วน่าจะสอดคล้องกับกฎข้อที่ 3 ของนิวตัน (Sir Isaac Newton) 2 นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ คือ กฎของกริยาและปฏิกิริยา (Law of Action and Reaction) ซึ่งมีหลักการว่า “แรงที่วัตถุที่หนึ่งกระทำต่อวัตถุที่สอง ย่อมเท่ากับแรงที่วัตถุที่สองกระทำต่อวัตถุที่หนึ่ง แต่ทิศทางตรงข้ามกัน” (Action = Reaction) ดังตัวอย่างที่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ เช่น การที่เราเอามือทุกกำแพงแล้วเจ็บมือ แรงที่มือทุบกำแพง คือ แรงกริยา ส่วนแรงที่กระทำย้อนกลับจากกำแพงมาสู่มือ คือ แรงปฏิกิริยา ยิ่งทุบแรงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเจ็บมือมาขึ้นเท่านั้น

อาจมีคนแย้งว่า ฉันให้ความรักความเมตตากับบางคนมากมาย ทำไมไม่เห็นมี Reaction (ปฏิกิริยา) กลับมาเลย ทำไม?

จริงๆแล้ง ความรักความเมตตาที่ราให้กับคนอื่นนั้น ส่วนใหญ่เขารับรู้ได้ แต่การที่ Reaction ไม่ค่อยจะยอมทำงาน นั่นอาจเป็นเพราะรักของเราไม่มากพอ และไม่ใช่ความเมตตาที่บริสุทธิ์ จึงไม่มีอานุภาพเพียงพอ ความเมตตานอกจากจะทำให้เป็นที่รักใคร่ของผู้คนมากมายแล้ว พระเดชพระคุณหลวงปู่ยังกล่าวถึงอานุภาพของความเมตตาไว้อีกว่า ช่วยให้ทำกิจการงานต่างๆสำเร็จโดยง่ายดาย ที่เป็นเช่นนี้เพราะใครๆก็เต็มใจให้ความร่วมมือ

“...บุคคลผู้เจริญเมตตา พึงตั้งจิตดวงนั้นไว้ จิตดวงของมารดาที่พร่าชีวิตแทนบุตรของตนได้น่ะ บุคคลผู้ประกอบด้วยเมตตา พึงตั้งจิตดวงนั้นไว้...”

“...จำดวงจิตดวงนั้นไว้ นั่นแหละทำให้เป็นขึ้นเถอะ จิตดวงนั้นน่ะให้เป็นแก่มนุษย์ทั่วไปละก็ บุคคลนั้นแหละจะทำอะไรละก็ ในโลกมนุษย์สำเร็จหมด สำเร็จหมดทีเดียว จะสร้างประเทศก็สำเร็จหมด สร้างวัดสร้างวาเป็นสำเร็จหมด ใช้อย่างนั้นแหละ คนต้องมาช่วยให้สำเร็จทุกประการ...”

แม้เราจะยังไม่สามารถทำใจให้เมตตาคนอื่นเหมือนอย่างที่แม่รักลูกได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะเราไม่เคยเป็นแม่ หรือเพราะเหตุใดก็ตาม แต่ถ้าเรามีความรักความเมตตากับผู้อื่นอย่างจริงใจในระดับหนึ่ง เชื่อว่ามนุษย์โดยทั่วไปจะสามารถรับรู้ได้ เพราะขนาดพืชซึ่งปราศจากจิตใจยังสามารถรับกระแสความเมตตาได้ เคล็ดลับการเพาะพันธุ์พืชของเบอร์แบงก์ต้องอาศัยทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความเมตตา ส่วนเคล็ดลับของการเป็นที่รัก นอกจากจะอาศัยความรู้เรื่องความเมตตาแล้ว ยังต้องอาศัยความจริงใจเป็นพื้นฐานด้วย

จากหนังสือ คำสอนหลวงปู่ สู่โลกปัจจุบัน (วันที่พิมพ์: 10 ตุลาคม พ.ศ.2551)

หมายเหตุ

1 ลูเธอร์ เบอร์แบงค์ (Luther Burbank)

  • เชื้อชาติ: ชาวอเมริกัน (บิดา-เชื้อสาย-สก๊อต มารดา-ฝรั่งเศส-ดัตช์)
  • มีชีวิตในช่วง: พ.ศ.2392 - พ.ศ.2469
  • ผลงานที่สำคัญ: ปรับปรุงพันธุ์พืชแล้วเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดไว้ ทำให้โลกมีพันธุ์พืชใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างมากมาย

- ข้อมูลจากเว็บไซต์บุคคลสำคัญของโลก (https://sites.google.com/site/nakwithyasastrxekkhxnglok/home)

2 เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton)

  • เชื้อชาติ: ชาวอังกฤษ
  • มีชีวิตในช่วง: พ.ศ.2185 - พ.ศ.2270
  • ผลงานที่สำคัญ: ตั้งกฎแรงโน้มถ่วง, ค้นพบทฤษฎีเกี่ยวกับการหักเหของแสง, ตั้งกฎการเคลื่อนที่

- ข้อมูลจากเว็บไซต์บุคคลสำคัญของโลก (https://sites.google.com/site/nakwithyasastrxekkhxnglok/home)

กฎของนิวตัน

กฎข้อที่ 1 กฎของความเฉื่อย (Inertia)

“วัตถุที่หยุดนิ่งจะพยายามหยุดนิ่งอยู่กับที่ ตราบที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำ ส่วนวัตถุที่เคลื่อนที่จะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงด้วยความเร็วคงที่ ตราบที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำเช่นกัน“

กฎข้องที่ 2 กฎของแรง (Force)

“ความเร่งของวัตถุจะแปรผันตามแรงที่กระทำต่อวัตถุ แต่จะแปรผกผันกับมวลของวัตถุ”

กฎข้อที่ 3 กฎของแรงปฏิกิริยา (Action = Reaction)

“แรงที่วัตถุที่หนึ่งกระทำต่อวัตถุที่สอง ย่อมเท่ากับ แรงที่วัตถุที่สองกระทำต่อวัตถุที่หนึ่ง แต่ทิศทางตรงข้ามกัน”

- ข้อมูลจาก www.kanta.ac.th

Learning module on Earth Science and Astronomy (The LESA Project) โครงการ การเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ

Kirdkao Observatory

บทความที่เกี่ยวข้อง:

บทความอื่นๆในหมวดนี้