พระผงวัดปากน้ำ (พระของขวัญ) รุ่น 1 - 3 :: Dhammakaya Foundation & Wat Phra Dhammakaya : World Peace through Inner Peace using Meditation Practice  

 

พระผงวัดปากน้ำ (พระของขวัญ) รุ่น 1 - 3

พระผงวัดปากน้ำ (พระของขวัญ) รุ่น 1 – 3

ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ผลิต “พระผงวัดปากน้ำ” หรือที่เรียกกันว่า “พระของขวัญ” ออกมา 3 รุ่น รุ่นละ 84,000 องค์ ซึ่งร่วมทั้ง 3 รุ่นก็มีจำนวนมากถึง 252,000 องค์ เนื่องจากพระของขวัญของหลวงปู่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว จึงมีผู้คนจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ไปรับพระของขวัญของหลวงปู่ที่วัดปากน้ำด้วยตนเอง

หลวงปู่มีดำริให้สร้างพระของขวัญขึ้น เพื่อหาทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งท่านจะมอบให้กับญาติโยมที่มีกุศลศรัทธาร่วมบริจาคเงินทำบุญตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป เพื่อไว้เป็นเครื่องตรึกระลึกนึกถึงบุญ ซึ่งพระผงที่สร้างขึ้นนี้ จะเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปางปฐมเทศนา ด้านหลังจารึกอักษรขอมว่า “ธรรมขันธ์” และหลวงปู่ตั้งชื่อว่า “พระของขวัญ”

พระของขวัญ เป็นพระผงที่มีส่วนผสมของดอกไม้หอมที่ใช้บูชาพระประจำเช้า – เย็น เช่น ดอกมะลิ, ดอกบัว, เกสรดอกไม้ ซึ่งนำมาตากแห้ง แล้วป่นผสมกับแป้ง และที่สำคัญจะมีเส้นเกศาของหลวงปู่ผสมอยู่ด้วย ซึ่งหลังจากผสมเสร็จแล้ว จะนำมาปั้นเป็นก้อน แล้วอัดเป็นบล็อกออกมา พระของขวัญนี้ หลวงปู่จะมอบให้ 1 องค์ ต่อ 1 คน เท่านั้น ไม่ว่าใครจะทำบุญมากขนาดไหน ก็จะได้เพียงแค่องค์เดียว อีกทั้งยังฝากรับแทนกันไม่ได้ หรือแม้รับไปแล้ว หากทำหายไป จะมารับใหม่ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะหลวงปู่กล่าวว่า “พระของขวัญแต่ละองค์นั้น มีเจ้าของหมดแล้ว” ซึ่งก็หมายถึงว่า หลวงปู่ได้คำนวณเอากายละเอียดของผู้ที่ทำบุญกับท่านมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน มาซ้อนในกลางพระของขวัญด้วยวิชชาธรรมกาย แล้วเชื่อมให้ติดกัน (จะเข้าใจเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อได้นั่งสมาธิ จนเข้าถึงพระธรรมกายภายใน และได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย)

การรับพระของขวัญ ต้องรับจากมือหลวงปู่ จึงจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะเวลาหลวงปู่มอบให้ ท่านจะใช้วิชชาธรรมกาย บรรจุพระของขวัญซ้อนติดลงไปในศูนย์กลางกายของผู้รับด้วย และเมื่อบรรจุแล้ว พระนิพพานก็จะซ้อนความศักดิ์สิทธิ์ผ่านพระของขวัญซึ่งเป็นเสมือนสื่อ ไปยังผู้เป็นจ้าของพระของขวัญ แล้วจะบันดาลให้ความปรารถนาของเจ้าของพระ สำเร็จได้โดยง่าย สาเหตุที่พระของขวัญของหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์และมีอานุภาพอันไม่มีประมาณได้นั้น เป็นเพราะหลวงปู่ได้กราบทูลพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทั้งหมดว่า จะผลิตของขวัญเอาไว้ให้สำหรับผู้มีบุญที่ได้ทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติขึ้นมา โดยหลวงปู่ได้ขออาราธนาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ไม่ว่าจะมีมากน้อยเพียงใด ทั้งที่เข้านิพพานไปแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ หรือเข้านิพพานไปเก่าๆแก่ๆ มีธาตุธรรมแก่ๆ กายใหญ่โตสวยงาม มีอานุภาพมาก มีพลังบุญพลังบารมีมาก โดยไม่ซ้ำธาตุ ไม่ซ้ำธรรม ไม่ซ้ำพระพุทธเจ้า กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่อาราธนามาชุดหนึ่ง ท่านก็เอาพลังบุญ พลังบารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด เอาบุญศักดิ์สิทธิ์ มาทำความศักดิ์สิทธิ์ให้บังเกิดขึ้นกับพระของขวัญ โดยทำตลอดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนถึงวันออกพรรษา

ผู้รับพระของขวัญองค์แรก ก็คือ หลวงปู่วัดปากน้ำ โดยท่านต้องทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติก่อน เพราะหลวงปู่ถือว่าพระของขวัญนี้เป็นของพระนิพพาน ท่านเป็นเพียงผู้ควบคุมดูแลในการผลิตเท่านั้น ดังนั้น ก่อนจะรับพระของขวัญ ท่านจึงร่วมทำบุญด้วยตนเอง 25 บาท แล้วรับไว้ 1 องค์ เป็นองค์ปฐม หรือเป็นองค์แรก จากนั้นพระ – เณรในวัดและเจ้าภาพที่ทำบุญตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไปก็รับเป็นองค์ต่อๆไป ที่สำคัญ เมื่อมีผู้รับพระของขวัญไปแล้ว หลวงปู่ก็ยังคุมทีมงานทำวิชชาให้ทำความละเอียด ทับทวีความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นกับพระของขวัญอย่างตลอดต่อเนื่อง ตลอดวันตลอดคืน เพื่อให้พระของขวัญศักดิ์สิทธิ์ยิ่งๆขึ้นไป กล่าวคือ เมื่อพระของขวัญไปอยู่กับบุคคลใดแล้ว ก็ให้ไปบันดาลให้เขาสมความปรารถนา ให้ไปปกปักรักษาชีวิตและทรัพย์สินของเขา เมื่อเวลาที่เขาจะเดินทางไปเหนือล่องใต้ โดยทางรถ ทางเรือ หรือไปด้วยยวดยานพาหนะอันใด ก็ขอให้เขาอย่ามีเหตุเภทภัย ให้มีปาฏิหาริย์ไม่ซ้ำปาฏิหาริย์

หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่ได้พระของขวัญไป จะมีสมบัติติดตัวพันล้าน ซึ่งการที่ท่านเปรียบเทียบอย่างนี้ เพราะการถวายปัจจัย 25 บาทเพื่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติในช่วงนั้น เป็นการทำบุญถูกเนื้อนาบุญ กล่าวคือ ถูกองค์พระธรรมกายนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน เพราะได้ทำกับหลวงปู่และบรรดาผู้ที่เข้าถึงพระธรรมกายโดยตรง ดังนั้น แม้จะทำบุญจำนวนน้อย เวลาบุญส่งผลก็จะได้มาก และแม้ทำบุญจำนวนมาก เวลาบุญส่งผล ก็จะได้มากยิ่งๆขึ้นไปเป็นทับทวี เหมือนบัณฑิตในกาลก่อนที่ได้ถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว เวลาบุญส่งผล ก็ทำให้เขาได้เป็นถึงพระเจ้าจักรพรรดิ มีสมบัตินับอนันต์ นับภพนับชาติไม่ถ้วนเลยทีเดียว

แม้ว่าในบางครั้ง หลวงปู่อยากจะให้พระของขวัญแก่ผู้ใดเป็นการส่วนตัว ท่านก็ยังต้องให้ผู้นั้นบริจาคปัจจัยทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติให้แก่วัดเหมือนกัน เพราะท่านถือว่า ท่านผลิตพระของขวัญออกมาก็เพื่อวัด มิใช่ทำเพื่อส่วนตัว ดังนั้น จึงมอบพระของขวัญให้ผู้ใดไปเปล่าๆไม่ได้ ที่สำคัญหลวงปู่ยังประกาศไม่ให้ใครนำพระของขวัญออกไปแจกนอกวัด ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่ง สมเด็จป๋า (พระสังฆราชองค์ที่ 17) พูดกับหลวงปู่ว่า จะขอพระของขวัญจากหลวงปู่ เพื่อเอาติดตัวไปตามหัวเมืองต่างๆ และเมื่อใครต้องการ ก็จะให้เป็นของขวัญแก่เขา หลวงปู่ได้กล่าวว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระของเรามีคุณภาพจริง ผู้อยากได้ต้องมาเอาเอง ถ้าเอาไปอย่างนั้น ของดีก็กลายเป็นของเก๊ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส” และท่านยังพูดแถมท้ายอีกว่า “อย่ากลัวเลย...แปดหมื่นสี่พันองค์ 2 หน ก็ไม่พอแจก” ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่หลวงปู่พูดไว้ไม่มีผิด ทั้งๆที่ทางวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไม่ได้ทำใบปลิวแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์อะไรใหญ่โตเลย แต่เมื่อผู้ที่รับพระของขวัญจากหลวงปู่ไปแล้ว ได้เจออานุภาพและเรื่องราวความมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ ก็ทำให้ข่าวความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญแพร่สะพัดกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้มีผู้คนข้ามน้ำข้ามทะเล เหมารถ เหมาเรือ พากันมาจากต่างจังหวัด จากต่างประเทศ เพื่อไปขอรับพระของขวัญกันอย่างเนืองแน่นประดุจวัดปากน้ำมีงานมหรสพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันวิสาขบูชา มีคนเดินทางไปรับพระของขวัญมากถึง 1,500 คน จนทำให้หลวงปู่ต้องย้ายสถานที่มอบพระของขวัญไปที่พระอุโบสถ โดยจัดระบบระเบียบในการมอบพระของขวัญใหม่ โดยหลวงปู่ได้จัดให้มีพระภิกษุคอยจัดคนเข้า – ออกจากพระอุโบสถ คนละประตู คือ ประตูหน้าเป็นทางเข้าไปรับพระ และเมื่อรับแล้วให้ไปออกทางประตูหลัง อีกทั้งในแต่ละรอบของการรับพระ หลวงปู่จะให้คนทยอยเข้ามาจนเต็มพระอุโบสถก่อน จากนั้นท่านก็สั่งปิดประตู เมื่อสาธุชนทยอยกันรับไปเรื่อยๆจนคนในพระอุโบสถเริ่มน้อยลงแล้ว หลวงปู่จึงจะสั่งให้เปิดประตูรับคนเข้าไปใหม่ ในวันหนึ่งๆ หลวงปู่จะอธิบายให้ผู้ที่จะรับพระของขวัญได้ทราบถึงวิธีอาราธนาพระของขวัญเป็นร้อยๆรอบ ซึ่งแต่ละรอบ ท่านยังเล่าถึงอานุภาพของพระของขวัญที่มีคนรับไปแล้วได้ประสบกับตัวเอง ดังนี้

“บัดนี้ ท่านทั้งหลายทั้งหญิงและชายได้เสียสละเวลาให้เป็นส่วนของพระพุทธศาสนาโดยตรง มาสมทบทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติ ที่ท่านได้เสียสละโลกิยทรัพย์สร้างโรงเรียนพระปริยัติอย่างนี้ ได้ชื่อว่าทำถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา เรียกว่าเป็นศาสนสมบัติให้ศาสนาแล้ว ท่านผู้สร้างสมบัติให้ศาสนานั่นแหละ จักเป็นเหตุที่ตั้งให้มีสมบัติไม่รู้จักสิ้นเสื่อม เหตุนี้ ท่านทั้งหลายที่ได้เสียสละทรัพย์ลงไปแล้ว 25 บาท 30 บาท 50 บาท ตามศรัทธาของตนที่สละลงไปนั้น ได้ชื่อว่าทำผลถาวรให้แก่เจ้าของทรัพย์นั่นเอง ซึ่งจะได้รับผลต่อไปในภายภาคหน้าที่ฝากไว้ในพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ไม่เสื่อมทรามนับชาติไม่ถ้วน เพราะท่านบริจาคของ ท่านสละทรัพย์ จะส่งผลให้ท่านในมนุษย์ก็จะส่งผลของมนุษย์ให้ ในทิพย์ก็จะส่งผลที่เป็นทิพย์ให้ ในกามภพนี้จะได้สบสมบัติในภายหน้านับประมาณไม่ได้ เหตุนี้ดังนี้ ท่านทั้งหลายได้เป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนาเช่นนี้ ฝ่ายทางพระศาสนาที่ได้รับสมบัติของท่าน ก็จะมีของตอบแทนแก่ท่าน คือ ของศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเราทั้งหลายยังไม่เคยพบเคยเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ อาจจะเป็นได้จริงหรือคาดคะเนไม่ถูก ผู้พูดนี้เองเป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าในนิพพาน มีธรรมกายมากด้วยกัน ได้ไปอาราธนาพระพุทธเจ้ามานับพระนิพพานไม่ถ้วน นับอสงไขยก็ไม่ถ้วน มาผลิตของขวัญนี้ให้ปรากฏขึ้นในมนุษย์ ธรรมกายในมนุษย์นี้ก็ได้เข้าสมทบด้วย ดูแลการงานนั้นๆ ท่านทำอย่างไร ก็ทำไปตามท่าน พระพุทธเจ้าท่านจัดแจงทำทั้งนั้น ตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนกระทั่งถึงวันออกพรรษา วินาทีหนึ่งมิได้หยุดเลย ท่านกระทำความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน พอออกพรรษาแล้ว พอได้อรุณก็สำเร็จด้วยความประสงค์ของท่านในการผลิตของขวัญ องค์ต้นทรงรับสั่งว่า “ของศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้บังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก” แล้วก็หับพระโอษฐ์ทีเดียว เมื่อรับสั่งดังนี้แล้ว เราก็คำนวณว่า ศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ไหน คำนวณไม่ถูก

ผู้พูดนี้ก็ได้ลงมือแจกในวันแรม 6 ค่ำ เป็นวันเกิดของผู้พูดนี้ ได้แจกของขวัญออกไป อัศจรรย์ต่างๆ ความศักดิ์สิทธิ์ของของขวัญนั้น ผู้ที่ได้รับไปแล้ว นางเขียว บางไผ่ เป็นผู้หญิงอายุ 80 กว่า ได้รับพระเอาไปแล้วเอาไปไว้บนหลังมุ้ง พอค่ำลงเท่านั้นเปล่งรัศมีสว่างเต็มบ้านเต็มช่อง พากันตกตะลึงเพราะไม่รู้เรื่องอะไรกัน ทะเลิ่กทะลั่กไปตามกันพักใหญ่นานอยู่ แล้วแสงนั้นก็ค่อยโทรมลงไป โทรมลงไป ก็มารวมอยู่ที่สว่างหลังมุ้ง นางเขียวก็รู้ว่าพระของขวัญเอาไว้ที่นั่น แสงสว่างนี้ออกจากพระของขวัญนั้นเอง แต่เช้าเชียวมาหาผู้พูดนี้ บอกว่า “ท่าน...เมื่อคืนนี้แสงสว่างเกิดที่บ้านดิฉัน พระท่านเปล่งรัศมีสว่างเชียว เดิมทีก็ไม่รู้ว่าอะไร แล้วก็มารวมอยู่ที่พระ จึงรู้ว่าพระ” รูปร่างนางเขียวเมื่อวันมารับพระของขวัญนั้น มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นประจำอยู่ คืนเดียวเท่านั้น เวลามาบอกตอนเช้า ร่างกายเปล่งปลั่งไปหมด แปลกกว่าปกติเดิมทีเดียว ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาไปหมด ดูสะอาดสะอ้าน มีผิวพรรณวรรณะ เขารู้สึกว่าของขวัญนี้อัศจรรย์ แปรชั่วเป็นดีได้ขนาดนี้เชียวหนอ เรารู้สึกว่า ศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่นี้แลหรือ”

ผู้ที่ได้รับพระของขวัญไปบูชาคล้องติดตัว ต่างได้เจออานุภาพพระของขวัญกันมากมายหลายแบบ ซึ่งบางคนก็เจอพระของขวัญของตัวเองพูดได้ กล่าวคือ เวลามีเหตุเภทภัย พระของขวัญจะเปล่งเสียงเตือนเจ้าของให้ไปทางโน้นทางนี้ จนกระทั่งรอดปลอดภัย หรือวันดีคืนดี วันขึ้น 15 ค่ำ อยู่ๆพระของขวัญก็แสดงอานุภาพให้เจ้าของเห็นโดยการลอยขึ้น แล้วเปล่งรัศมีเป็นแสงขาวนวลเท่าลูกมะพร้าวลอยออกไป และพอถึงเวลาก็ลอยกลับคืนมา หรือบางคนได้เจออานุภาพ ทำมาค้าขึ้น ร่ำรวยจนตัวเองแปลกใจ หรือบางคนตกต้นตาลสูงๆแล้วไม่เป็นอะไรก็มี หรือบางคนประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก คนอื่นตายหมด แต่ตัวเองกลายเป็นคนเดียวที่รอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงโดยคนรอบข้างที่ไปด้วยกันเสียชีวิตหมด แต่ตัวเองซึ่งแขวนพระของขวัญติดตัวกลับรอดชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารที่ออกรบในสมัยสงครามเกาหลี

หลวงปู่ได้เล่าว่า “ที่เขาเล่าในทางเกาหลี ทหารอังกฤษ อเมริกัน ทหารฝรั่งกำลังคุยกันอยู่ มีทหารไทยอยู่บ้าง ลูกระเบิดทำลายมันตกลงกลางประชุมกำลังคุยกันอยู่นั้น ปึงเดียวเท่านั้นตายหมด เหลือไทยคนเดียวมีพระของขวัญอยู่ในตัว ฝรั่งให้เหรียญกล้าหายแก่ไทยคนนั้นยังปรากฏอยู่ นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น”

เรื่องอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญนี้ หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ปีที่ 6 สัปดาห์ที่ 280 วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2503 ได้เสนอข่าวตีพิมพ์จดหมายของ สิบตรี วาสนา อาคมวัฒนะ แห่งกรมผสมที่ 21 ที่เขียนมาจากเกาหลี ซึ่งได้เล่าถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญที่ตนและเพื่อนอีกคนหนึ่งได้รับไปจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ความว่า “กระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกยิงถูกคลังกระสุน ไฟไหม้ถังน้ำมันจนเกิดเป็นแสงอร่ามไปทั่ว ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในที่นั้นต้องกระจัดกระจายไป ปืนและเครื่องเหล็กละลายไปกับกองไฟใหญ่นั้น เพื่อนทหารคนหนึ่งทิ้งห่อพระไว้ ตอนสายๆเพลิงค่อยสงบลงจึงรีบรุดไปยังที่นั่นกัน ก็เห็นพระอันน่าประหลาดที่ห่อผ้าเช็ดหน้าแขวนเด่นอยู่กับเสาเหล็กเป็นที่ประหลาดใจแก่ทหารทั้งหลายเป็นอันมาก เพราะแม้แต่เหล็กก็ยังละลาย แต่ผ้าขาวที่ห่อพระไม่ได้ลงเลขยันต์อะไร กับพระอีกองค์หนึ่ง ยังคงอยู่ในสภาพปกติ มิได้เสียหายเลย เป็นพระเครื่องวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อีกทั้งตนเองนั้นก็รอดตายจากสมรภูมิหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากมีการยิงขนาดเผาขนกันไม่เว้นแต่ละวัน ก็รอดมีชัยมาได้ทุกครั้ง บางครั้งอยู่ในวิถีปืนที่ยิงมาอย่างหนัก ถ้าไม่มีโอกาสเพ่งศูนย์กลางตัว ก็เพียงภาวนาดังกล่าว และระลึกถึงอาจารย์ คือ หลวงปู่ ก็พอแล้ว สามารถคุ้มกันได้และพลอยคุ้มกันเพื่อนฝูงไปได้อีกด้วย”

  • ข้อมูลเบื้องต้น พระผงวัดปากน้ำ (พระของขวัญ)
  • พระของขวัญวัดปากน้ำ เป็นพระผง ขนาดเล็ก ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้สร้างขึ้น มีทั้งหมด 3 รุ่น ด้วยกัน คือ รุ่น 1 รุ่น 2 และ รุ่น 3 พระของขวัญแต่ละรุ่นดังกล่าวนี้ หลวงปู่กระทำให้สำเร็จขึ้นมาด้วยวิธีเจริญสมาธิภาวนา ตามหลักวิชาธรรมกาย ขนาดองค์พระโดยประมาณ กว้าง 1.4 เซตติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร หนา 4 – 6 มิลลิเมตร
  • พุทธลักษณะ เป็นพระนั่งสมาธิราบ ปางปฐมเทศนา องค์พระนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้วยอดแหลม ด้านหลังองค์พระเป็นอักขระขอม อ่านว่า “ธรรมขันธ์”
  • ส่วนผสมมีหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นดอกมะลิแห้งที่บดละเอียดแล้ว, เส้นเกศาของหลวงปู่ และผงวิเศษที่หลวงปู่ทำขึ้นอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีส่วนผสมอื่นๆอีกตามส่วน โดยได้นำเอาส่วนผสมดังกล่าว มาโขลกตำจนละเอียดเข้ากันดีแล้วจึงได้นำมาพิมพ์ (พระของขวัญ รุ่น 2 และรุ่น 3 ก็ใช้กรรมวิธีเดียวกัน)

พระผงวัดปากน้ำ (พระของขวัญ) รุ่น 1

พระของขวัญ รุ่น 1

สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2493 จำนวน 84,000 องค์ (เท่ากับจำนวนของพระธรรมขันธ์) เริ่มพิมพ์ขึ้นเมื่อประมาณกลางเดือน 7 (จันทรคติ) ก่อนเข้าพรรษา 1 เดือน หลังจากนั้น หลวงปู่ได้เริ่มทำพิธีบรรจุพุทธานุภาพตามหลักวิชชาธรรมกายตลอดพรรษา (ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) และได้เริ่มแจกในวันแรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีเดียวกัน ในอภิลักขิตสมัยคล้ายวันเกิดของท่าน ณ พระอุโบสถ วันปากน้ำ ภาษีเจริญ จนกระทั่งหมดลงเมื่อ ปี พ.ศ.2497

พระของขวัญ รุ่น 1 นี้ มีแม่พิมพ์ทั้งหมด 10 แม่พิมพ์ ทำขึ้นจากทองเหลือง โดย หลวงภูมินาถสนิท (สืบ ตังครัตน์) ได้ให้ช่างแกะนำมาถวายหลวงปู่ เป็นแม่พิมพ์สี่เหลี่ยม ลักษณะขององค์พระทั้ง 10 พิมพ์ จะเหมือน หรือคล้ายกัน จะแตกต่างกันในด้านรายละเอียดของใบหน้า, การทอดแขน, การวางมือ และส่วนต่างๆขององค์พระ

พระของขวัญ รุ่น 1 มีทั้งที่เคลือบทาเชลแล็กและที่ไม่ได้เคลือบทาเชลแล็ก (ส่วนมากจะไม่ได้เคลือบทาไว้ ที่เคลือบทาเชลแล็กในรุ่นนี้ จะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น) เนื้อขององค์พระส่วนใหญ่ จะฟูยุ่ย ไม่ค่อยแน่นคงทน แต่ที่เนื้อแข็งแน่นก็มีด้วยเช่นกัน สีของเนื้อองค์พระโดยทั่วไปจะเป็นสีขาว, สีนวล หรือสีขาวอมเหลือง อีกทั้งที่เป็นสีคล้ายสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลอ่อน ก็มีเหมือนกัน

จุดสังเกต: เส้นม่านมีข้างละ 13 เส้น, พระกรรณข้างขวาขององค์พระจะยาวกว่าข้างซ้าย, พระโอษฐ์เม้ม นูนหนา กว่าพิมพ์อื่นๆ, มีเส้นพระศอสองเส้น, สังฆาฏิเป็นแผ่นแบน, มีเส้นพิมพ์แตกตรงปลายพระอังคุฐ (นิ้วหัวแม่มือ) ด้านซ้าย, พระบาทซ้ายขององค์พระจะสั้น กลืนหายไปไม่เห็นฝ่าพระบาท

พระผงวัดปากน้ำ (พระของขวัญ) รุ่น 2

พระของขวัญ รุ่น 2

สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2494 (หลังจากที่สร้างพระของขวัญรุ่น 1 ได้เพียงปีเดียว) จำนวนที่สร้าง 84,000 องค์ มาเริ่มแจกในปี พ.ศ.2497 และได้หมดลงในปี พ.ศ.2505 (ภายหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพแล้ว) ใช้แม่พิมพ์รุ่น 1 ทั้ง 10 พิมพ์ กรรมวิธีและส่วนผสมอย่างเดียวกันกับรุ่น 1 เนื้อของพระรุ่น 2 จึงไม่แตกต่างจากรุ่น 1 มีความใกล้เคียงกัน กล่าวคือ เนื้อขององค์พระจะไม่แน่น ฟูยุ่ยพอๆกัน ดังนั้น ในรุ่น 2 นี้ ทางวัดปากน้ำได้เคลือบทาเชลแล็กไว้ทั้งหมด เพื่อรักษาเนื้อขององค์พระไว้ให้คงทน

หมายเหตุ: พระของขวัญที่นำมาแจกภายหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพแล้ว มีอยู่รุ่นหนึ่ง เรียกกันว่า “รุ่นตกค้าง” พระรุ่นตกค้าง คือ พระของขวัญรุ่น 1 และรุ่น 2 ที่เรียกว่า “ตกค้าง” เพราะว่าเหลือ หรือตกค้างอยู่ มิได้นำออกมาแจก ภายหลังจากที่หลวงปู่ได้มรณภาพแล้วจึงได้นำออกมาแจก สาเหตุเนื่องจากพระรุ่นตกค้างนี้เป็นพระที่มีพิมพ์ไม่สมบูรณ์, ไม่สวยงาม กล่าวคือ พิมพ์จะตื้น หรืออาจบิดเบี้ยวไปบ้าง ในการแจกพระของขวัญนั้น หลวงปู่จะไม่แจกพระผงที่ชำรุดเหล่านี้ออกไป ท่านสั่งให้คัดพระผงเหล่านี้ออกเสียแล้วเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก ภายหลังจากที่หลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว จึงได้นำพระผงดังกล่าวนี้ออกมาจ่ายแจก คนทั่วไปจึงนิยมเรียกกันต่อๆมาว่า “รุ่นตกค้าง” (พระรุ่นตกค้างเหล่านี้ได้ผ่านพิธีบรรจุพุทธานุภาพตามหลักวิชชาธรรมกาย โดยสมบูรณ์ทุกประการ)

พระผงวัดปากน้ำ (พระของขวัญ) รุ่นตกค้าง

พระของขวัญ รุ่น 3

สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2499 มีจำนวน 84,000 องค์ โดยได้ทำพิธีบรรจุพุทธานุภาพตามหลักวิชาธรรมกาย โดยหลวงปู่จนกระทั่งตลอดอายุ ภายหลังจากที่ท่านได้มรณภาพได้แล้วถึง 3 ปี ทางวัดจึงได้นำพระรุ่น 3 นี้มาให้ประชาชนได้เช่าบูชา กล่าวคือ ได้เริ่มนำออกจ่ายแจกตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 เป็นต้นมาจนกระทั่งหมดลงในปี พ.ศ.2514 เพราะเหตุที่พระของขวัญรุ่น 3 นี้ได้นำออกมาแจกในภายหลังจากที่หลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว จึงทำให้มีผู้เข้าใจผิดคิดว่าพระรุ่น 3 นี้หลวงปู่มิได้เป็นผู้สร้างขึ้น

พระของขวัญรุ่น 3 นี้ในการพิมพ์ระยะแรกนั้นได้ใช้แม่พิมพ์รุ่น 1 ทั้ง 10 พิมพ์ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่เมื่อพิมพ์ไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ต้องเปลี่ยนแก้ไขแม่พิมพ์ใหม่ เนื่องจากแม่พิมพ์รุ่น 1 ทั้ง 10 พิมพ์ ได้ใช้งานมามากแล้วถึง 2 รุ่น ด้วยกัน จึงทำให้แม่พิมพ์ดังกล่าวเหล่านี้ตื้น องค์พระที่ได้จึงรางเลือนไม่คมชัด ดังนั้น ทางวัดโดย พระภาวนาโกศลเถร (ธีระ คล้อสุวรรณ) ซึ่งได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ให้เป็นผู้ดำเนินการพิมพ์ในครั้งนั้น ได้นำแม่พิมพ์ดังกล่าวเหล่านี้ไปให้ช่างตบแต่งแก้ไขใหม่ เพื่อให้แม่พิมพ์มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น ดังนั้น แม่พิมพ์ที่ตบแต่งแก้ไขใหม่กับแม่พิมพ์เก่าจึงมีลักษณะที่แตกต่างกัน กล่าวคือ แม่พิมพ์เก่าที่ใช้พิมพ์ในคราวแรกนั้นมักนิยมเรียกกันว่า “พิมพ์ตื้น” ส่วนแม่พิมพ์ที่ตกแต่งแก้ไขขึ้นมาใหม่ มักนิยมเรียกกันว่า “พิมพ์ลึก” หรือ “พิมพ์นูน” เพราะว่าองค์พระจะนูนเด่นชัดเจน พระของขวัญรุ่น 3 นี้ จึงแยกแม่พิมพ์ออกได้เป็นสองชุดใหญ่ๆ คือ

แม่พิมพ์ชุดแรก พิมพ์ตื้น (แม่พิมพ์เก่า)

ใช้แม่พิมพ์รุ่น 1 ทั้ง 10 พิมพ์ องค์พระจะเหมือนกับพระรุ่น 1 ทุกประการ แต่จะสามารถสังเกตความแตกต่างกันได้ก็ตรงที่เนื้อและขนาดขององค์พระ (ส่วนผสมต่างๆของพระรุ่น 3 นี้ ก็เป็นอย่างเดียวกันกับรุ่น 1 และรุ่น 2 แต่ได้เพิ่มส่วนผสมต่างๆที่เป็นตัวประสานเนื้อขององค์พระไว้มากกว่าเดิม อย่างเช่น น้ำมันตั้งอิ๊ว และกล้วยน้ำว้า เป็นต้น เพื่อให้เนื้อขององค์พระมีความแน่นเหนียวกว่าสองรุ่นแรก สีเนื้อขององค์พระส่วนใหญ่จะเป็นสีเหลือง, สีขาวนวล, สีน้ำตาลอ่อน และสีคล้ำๆ ส่วนขนาดของพระรุ่น 3 จะเล็กกว่าและตื้นกว่ารุ่น 1และรุ่น 2)

พระผงวัดปากน้ำ (พระของขวัญ) รุ่น 3 (ซ้าย) พิมพ์ตื้น (ขวา) พิพม์นูน

แม่พิมพ์ชุดหลัง พิมพ์นูน (แม่พิมพ์ตกแต่งแก้ไขขึ้นใหม่)

แม่พิมพ์ชุดหลัง หรือพิมพ์หลัง เป็นแม่พิมพ์ที่ได้ตกแต่งแก้ไขขึ้นใหม่จากตัวแม่พิมพ์เดิม และมี 10 พิมพ์เช่นเดียวกัน แต่พระของขวัญจากแม่พิมพ์ที่ตกแต่งแก้ไขใหม่นี้ องค์พระจะอวบอ้วนสมบูรณ์ นูนเด่นชัดมาก พุทธลักษณะทั่วไปของพระของขวัญ รุ่น 3 พิมพ์หลังนี้ เป็นพระนั่งสมาธิราบ องค์พระประทับนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้วยอดแหลม พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นเสมอพระอุระ ข้างซุ้มทั้งสองด้านมีเส้นม่านเป็นขีดๆเรียงกันเป็นลำดับลงมา ฐานองค์พระเป็นบัวสองชั้น ลักษณะของกลีบบัวจะเป็นเส้นขีดๆเรียงกัน ด้านหลังองค์พระพิมพ์เป็นอักขระขอมอ่านว่า “ธรรมขันธ์” อักขระด้านหลังนี้ลักษณะของตัวอักขระจะแตกต่างจากรุ่น 1 ขนาดของพระโดยประมาณทั้ง 10 พิมพ์นี้ จะกว้าง 1.3 เซนติเมตร ยาว 1.9 เซนติเมตร หนา 6 มิลลิเมตร

อ้างอิง :

  • หนังสืออานุภาพหลวงปู่...ยุคต้นวิชชา
  • พระของขวัญ  วัดปากน้ำ  พิมพ์ครั้งที่ 5 พ.ศ.2539

บทความอื่นๆในหมวดนี้